ติดดินที่อินเดีย ตอน 8 ฉีดวัคซีนก่อนไปอินเดีย

 

ถ้าเทียบกับกัลกัตต้า สำหรับชั้นวาราณสีเงียบและสงบกว่ามาก โดยเฉพาะบริเวณเกสท์เฮาส์ที่เราพัก ไม่มีการจราจรเพราะเหมือนเป็นตำบลย่อยๆ ในเมืองนั้น หลังจากที่อเลนอนสลบอยู่ในห้องไม่มีทีท่าว่าจะออกไปข้างนอกได้ ชั้นก็เลยตัดสินใจออกไปเดินเล่นคนเดียว พนักงานเกสท์เฮาส์ส่งนามบัตรให้ชั้นเผื่อว่าหาทางกลับโรงแรมมาไม่เจอ

สิ่งแรกที่ออกไปตามหาคือร้านขายยา ก่อนหน้านี้ชั้นซื้อแหวนมาจากเนปาล (ทริปแรก) กลับมาใส่มันที่กรุงเทพฯ ตลอด 4 เดือน ก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอชั้นใส่มันที่อินเดียเท่านั้น ไม่รู้ว่าเพราะอากาศหรือสภาพชื้นแฉะของชั้นบรรยากาศแถวนี้หรืออะไร แต่นิ้วเริ่มไหม้ กลายเป็นแผลเหวอะหวะ ตอนที่ออกไปหาร้านขายยา ซึ่งระดับความสะอาดก็ไม่ต่างจากสภาพบนท้องถนนนัก ก็ไม่แน่ใจว่าชั้นจะไว้ใจได้ไหม แต่ยังไงก็ต้องไปซื้อยาหรือให้ดูอาการอะไรก็ได้ ชั้นไม่ได้มองหาโรงพยาบาล ชั้นไม่แน่ใจกับโรงพยาบาลเลยให้ตายสิ เลยกะว่าจะไปสำรวจร้านขายยาดูก่อน ถ้าเห็นท่าไม่ดีคงต้องพึ่งโรงพยาบาลเหมือนกัน

ระหว่างทางเดินมีร้านขายยาเยอะมากในเมืองนี้ แต่เท่าที่สำรวจดูแล้ว คิดว่ามีแต่ 1 ใน 20 ร้านเท่านั้นที่ชั้นเห็นว่าน่าไว้ใจ และสะอาดที่สุด ชั้นคิดว่าเเผลมันไหม้จากการเสียดสี และอาจเกิดการติดเชื้อหรืออะไรสักอย่างแน่ๆ ซึ่งเจ้าหน้าที่ร้านขายยาที่ไม่ได้แต่งตัวเป็นเภสัชกรแต่อย่างใด แต่เห็นแผลปุ๊บก็บอกทันทีว่ามันคือการติดเชื้อที่ผิวหนัง .. แม่เจ้า และก็ให้ยามาทา โอเค!

ณ เวลานั้น ชั้นไม่เคยคิดเลยว่า อาการนั้นจะทำให้ชั้นกลายเป็นโรคแพ้นิกเกิล รวมทั้งเงินต่างๆ มาจนถึงทุกวันนี้ 

หนึ่งเดือนครึ่งก่อนออกเดินทางมาอินเดีย อเลบอกชั้นว่า จากหนังสือ หมอ และข้อมูลที่เจอมา แนะนำให้คนที่จะไปอินเดียฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ประมาณ 2-10 ชนิด ชั้นจำชนิดไม่ได้หมด ที่นึกออกคร่าวๆ ก็อย่างเช่น วัคซีนป้องกันไข้สมองอักเสบ วัคซีนบาดทะยัก และวัคซีนตับอักเสบเอ เพราะว่าเมืองนี้มันช่างน่ากลัวนักและเราอาจจะแพ้อะไรโดยที่เราไม่รู้ตัวได้ถ้าเราไม่ได้ปกป้องตัวเองดีพอ  ทั้งเรื่องอาหารการกินที่บอกว่าอาจจะไม่สะอาด ร้านอาหารที่ไม่เรียบร้อยนัก รวมถึงน้ำดื่ม และยังได้ยินเรื่องที่ว่าชาวอินเดียไม่ชอบเข้าห้องน้ำ แต่อาศัยถนนเป็นห้องน้ำสาธารณะอย่างที่ชั้นเห็นมากับตา ชั้นบอกว่าโอเค แล้วจะไปนะ แต่สุดท้ายแล้วก็ลืม จนถึงวันที่อเลไปฉีดมาเรียบร้อยแล้ว ชั้นก็ยังไม่ไป ตอนนั้นไม่รู้ว่าต้องฉีดล่วงหน้าอย่างน้อยหนึ่งเดือน มานึกได้อีกทีก็ช้าไปแล้ว ชั้นก็เลยไม่ได้ฉีด ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าโรคผิวหนังอักเสบตามคอ เวลาแพ้สร้อยหรืออะไร สาเหตุเริ่มต้นของชั้นมาจากทริปอินเดียหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยเป็นอะไรเลย จนกระทั่งตอนนี้ที่ผิวหนังอักเสบจากการใส่แหวนที่ซื้อมาจากเนปาล ชั้นพยายามไม่คิดมาก เพราะอเลขนาดฉีดวัคซีนป้องกันมา แต่กลับมากลายเป็นอาการท้องเสียเพราะเคบับจากกัลกัตต้าซะนี่ ตอนนั้นได้แต่หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับร่างกายของเราอีกแล้วกัน

ชั้นซื้อยาเสร็จก็เดินต่อไป ไม่ได้มาพร้อมแผนที่ แค่กะเดินเล่นๆ เท่าที่เราจะเดินไปได้ ชั้นแวะดื่ม “ชัย” ซึ่งแปลว่า “ชา” ของอินเดีย ลักษณะไม่ต่างกับ “ดู่จา” ของชาวเนปาล หรือใกล้เคียงกับชาเย็นของบ้านเรา แต่เป็นชานมร้อน สีออกน้ำตาลอ่อนๆ บนท้องถนนส่วนใหญ่แล้วชั้นจะเจอแต่ชายชาวอินเดีย ส่วนผู้หญิงคิดว่าน่าจะอยู่บ้านทำงานบ้านหรือทำกิจกรรมที่ผู้หญิงทำกันในกลุ่มในสถานที่ที่จัดไว้ ก็มีบ้างที่ออกมาเดินบนท้องถนน แต่เท่าที่สังเกต จะมีแต่ผู้ชายมากกว่า ชั้นนั่งร้านขายชัย ละแวกนั้น มีแต่หนุ่มๆ และคนแก่ชาวอินเดีย ทุกคนมองด้วยสายตาอยากรู้ อยากเห็น อยากคุย และสงสัยว่าชั้นมาทำอะไรที่นี่คนเดียว? ชั้นก็เลยมอบยิ้มสยามไปให้ พี่ๆ น้องๆ ชาวอินเดียก็เลยยิ้มตอบ แต่ก็ไม่ได้เข้ามาคุยอะไรเป็นจริงเป็นจังนัก ชั้นเหลือบไปเห็นร้านข้างๆ ขายยาสูบ และคนขายกำลังนั่งมวนอะไรบางอย่าง เหมือนยาสูบมวนใบจากบ้านเรา แต่ที่นี่เป็นใบอย่างอื่น ชั้นเดินไปดู และพูดคุยว่าเขามีอะไรน่าสนใจให้ลองบ้าง อย่างแรกก็คือ “Bidi” (บีดิ) ยาสูบ เหมือนบุหรี่แต่มวนด้วยใบไม้จากแห้ง ราคาไม่ถึงหนึ่งรูปี ชั้นเลยซื้อมาสองอันมาลองหนึ่งอันและเก็บให้อเลหนึ่งอัน และชั้นก็ลองเลย และอีกอย่างเหมือนหมาก เพราะมันคือยาสูบที่ไม่ต้องจุดแต่ใช้เคี้ยวเอา ทำให้ปากเเดงเหมือนน้ำหมากบ้านเรา ตอนที่ชั้นซื้อ มีลุงอินเดียสองคนมาช่วยลุ้น และพอชั้นซื้อแล้วจะเอาเข้าปาก ลุงสองคนบอกว่า “อย่าลองเลย” แล้วก็หัวเราะ แต่ชั้นเอาเข้าปากไปแล้ว พอเคี้ยวแล้วปากเเดงพวกเขาก็ขำกัน และคอยสังเกตว่าชั้นทำหน้าปุเลี่ยนๆ หรือเปล่า รสชาติมันแปลกๆ ดี แต่ไม่ได้รู้สึกว่าอยากเคี้ยวต่ออีกอันเลย ชั้นก็ถามว่าเคี้ยวแล้วทำยังไง ลุงก็บอกว่า “อย่ากลืนนะ ถุยทิ้งเลย” “ตรงไหน” “ถุยตรงนี้แหละ” ฮ่าฮ่า .. ชั้นเลยถุยใส่เศษกระดาษ แล้วก็ฝากเค้าทิ้ง อินเดีย ตรงนั้นไม่มีถังขยะ ถนนคือถังขยะ

เสร็จแล้วก็ลา เดินต่อ แล้วก็ได้ยินเสียงคำทักทายว่า”โคนิชิวะ โคนิชิวะ” ตลอดทาง ตอนแรกก็คิดว่าเขาทักคนอื่นกัน แต่ที่ไหนได้ เขาหมายถึงชั้น นมัสเตค่า ชั้นไม่ใช่คนญี่ปุ่นนะค้า ชั้นมักถูกถามว่า “เป็นคนญี่ปุ่นเหรอ” พอบอกว่าไม่ใช่ “เป็นคนฟิลิปปินส์เหรอ” ไม่ใช่ “เป็นคนสิงคโปร์เหรอ” ไม่ใช่ “เป็นคนจีนเหรอ” ไม่ใช่ พอไม่ใช่หลายครั้งเข้า เขาก็สรุปว่า “เป็นคนเนปาลใช่ไหม” ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่ใช่ค่ะ คนไทยค่ะ หน้าตาชั้นมันอาจจะไม่เหมือนคนไทย เลยไม่มีใครทายว่าเมืองไทย หรือเขาไม่คุ้นเคยกับนักท่องเที่ยวคนไทย โดยเฉพาะผู้หญิงไทยที่ไหนจะไปเที่ยว ไปเดินคนเดียว หรือเปล่า แต่พอบอกว่าคนไทย ส่วนใหญ่ก็จะได้รับคำตอบโต้ว่า “อ้อๆ เเบงคอก เเบงคอก” 🙂  เป็นที่รู้จัก!

~ โดย โตเดี่ยว บน สิงหาคม 28, 2009.

ใส่ความเห็น